แฉยับ! สหกรณ์ออมทรัพย์ครูเพชรบูรณ์ ถูกร้องสอบเข้าข่ายฉ้อโกง-ฟอกเงิน เสียหายกว่า 300 ล้าน สมาชิกนับพันได้รับผลกระทบ
เพชรบูรณ์ – วันที่ 8 เมษายน 2568 กลุ่มสมาชิกผู้เสียหายจาก สหกรณ์ออมทรัพย์ครูเพชรบูรณ์ จำกัด รวมตัวกันยื่นหนังสือต่อ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษ เขตพื้นที่ 6 เพื่อร้องขอให้มีการตรวจสอบการดำเนินงานของสหกรณ์ฯ อย่างเร่งด่วน หลังพบพฤติการณ์ที่อาจเข้าข่ายการกระทำผิดกฎหมายหลายประการ ทั้ง ฉ้อโกงประชาชน และ ฟอกเงิน โดยความเสียหายประเมินเบื้องต้นสูงกว่า 300 ล้านบาท
เอกสารร้องเรียนประกอบด้วยหลักฐานจำนวน 69 แผ่น ครอบคลุมข้อมูลสำคัญ ได้แก่
รายชื่อสมาชิกผู้เสียหายจำนวน 1,130 คน จากทั้ง 11 อำเภอ
รายงานการประชุมสหกรณ์ฯ
เอกสารทางการเงิน
รายการโอนทรัพย์สิน
คลิปวิดีโอจากการประชุมใหญ่สามัญ
หลักฐานเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงพฤติการณ์ที่ไม่โปร่งใสของผู้บริหารสหกรณ์ฯ อาทิ
การหักเงินสมาชิกไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
การลงทุนในกิจการที่ไม่อยู่ในกรอบที่กฎหมายสหกรณ์กำหนด
การคำนวณและเรียกเก็บเงินค่าประกันเงินกู้ โดยไม่แจ้งรายละเอียดหรือขอความยินยอมจากสมาชิก การโอนทรัพย์สินโดยไม่มีมติหรือการอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่ สมาชิกผู้เสียหายเปิดเผยว่า สหกรณ์ฯ เริ่มมีพฤติกรรมเรียกเก็บ “ค่าประกันเงินกู้” ตั้งแต่ปี 2548 โดยเก็บเงินรายละระหว่าง 10,000 – 20,000 บาท โดยไม่มีการชี้แจงรายละเอียดหรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน โดยเฉพาะช่วงปี 2563 – 2566 มีการเรียกเก็บและหักเงินสมาชิกใหม่โดยพลการ ซึ่งเป็นการสร้างภาระทางการเงินแก่สมาชิกที่ส่วนใหญ่เป็นครูและบุคลากรทางการศึกษา
แม้ในที่ประชุมใหญ่สหกรณ์ฯ เมื่อปลายปี 2567 เคยมีการหยิบยกประเด็นนี้มาหารือ แต่กลับไม่มีความคืบหน้า หรือแนวทางการตรวจสอบที่เป็นรูปธรรม
ผู้เสียหายระบุว่า ได้ร้องเรียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายครั้งแต่เรื่องกลับเงียบ จึงตัดสินใจรวมตัวและรวบรวมหลักฐานยื่นเรื่องต่อหน่วยงานคดีพิเศษ เพื่อเร่งดำเนินการตามกฎหมาย
การกระทำของผู้บริหารสหกรณ์ฯ อาจเข้าข่ายความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ฐานฉ้อโกงประชาชน และ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 โดยเฉพาะกรณีการโอนทรัพย์สินและการเคลื่อนไหวทางบัญชีที่ไม่สามารถตรวจสอบที่มาและวัตถุประสงค์ได้อย่างชัดเจน
หนึ่งในสมาชิกผู้เสียหายกล่าวว่า “เราต้องการความยุติธรรม ไม่ใช่แค่คำขอโทษลอย ๆ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อชีวิตจริงของครูนับพันคน ที่เชื่อมั่นและไว้วางใจในระบบสหกรณ์มาตลอด”
ทั้งนี้ หน่วยงานคดีพิเศษอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง และอาจมีการเรียกผู้เกี่ยวข้องมาตรวจสอบเพิ่มเติมในเร็วๆ นี้ หากพบว่ามีมูลความผิดจริง คดีนี้อาจกลายเป็นหนึ่งในคดีฉ้อโกง-ฟอกเงินวงใหญ่ที่สุดในระบบสหกรณ์ภาคการศึกษาของไทย.